เมนู

ไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก ฉันอนุโมทนาทาน
ที่ท่านให้แล้ว จึงไม่มีภัยแต่ที่ไหน คุณพี่ ขอท่าน
พร้อมด้วยญาติทุกคนจงมีอายุยืนนานเถิด คุณพี่
ผู้งดงาม ท่านจงประพฤติธรรมและให้ทานใน
โลกนี้แล้ว จะเข้าถึงฐานะอันไม่เศร้าโศก ปราศ-
จากธุลี ปลอดภัย อันเป็นที่อยู่แห่งท้าววสวัสดี
ท่านกำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมด้วยราก
แล้ว อันใคร ๆ ไม่ติเตียนได้ จักเข้าถึงโลก
สวรรค์.

จบ มัตตาเปติวัตถุที่ 3

อรรถกถามัตตาเปติวัตถุที่ 3



เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภนางเปรตชื่อว่า มัตตา จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีกฎุมพีผู้หนึ่ง เป็นคนมีศรัทธา
มีความเลื่อมใส. แต่ภริยาของเขา ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส
มักโกรธและเป็นหมัน โดยชื่อมีชื่อว่า มัตตา. ลำดับนั้น กฏุมพีนั้น
เพราะกลัววงศ์สกุลจะขาดศูนย์ จึงได้นำหญิงอื่นชื่อว่า ติสสา
มาจากสกุลเสมอกัน. นางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ทั้งเป็น
ที่รัก เป็นที่ชอบใจของสามี. ไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์ โดยล่วงไป

10 เดือน นางจึงคลอดบุตรคนหนึ่ง บุตรคนนั้นมีชื่อว่า ภูตะ.
นางเป็นแม่บ้าน อุปัฏฐากภิกษุ 4 รูป โดยเคารพ, ส่วนหญิงหมัน
ริษยานาง.
วันหนึ่ง หญิงทั้งสองคนนั้น สระผม ได้ยินผมเปียกอยู่แล้ว.
กฎุมพีมีความเสน่หาผูกพันในนางชื่อว่า ติสสา ด้วยอำนาจคุณ
ความดี มีใจฟูขึ้น ได้ยินเจรจามากมาย กับนางติสสานั้น. นางมัตตา
อดทนต่อเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ถูกความริษยาครอบงำ จึงเอาหยาก-
เหยื่อที่กวาดสุมไว้ในเรือนมาโปรยลงบนกระหม่อมของนางติสสา.
สมัยต่อมา นางมัตตา ทำกาละแล้ว บังเกิดในกำเนิดเปรต เสวย
ทุกข์ 5 ประการ เพราะพลังแห่งกรรมของตน. ก็ทุกข์นั้น จะรู้ได้
ตามพระบาลีนั่นเอง. ภายหลัง ณ วันหนึ่ง นางเปรตนั้น เมื่อการ
ก่อกรรมผ่านไป จึงแสดงตนแก่นางติสสา ผู้กำลังอาบน้ำ อยู่
ด้านหลังเรือน. นางติสสา เห็นนางนั้น จึงสอบถามด้วยคาถาว่า :-
ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูก่อนนาง
ผู้ซูบผอม มีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครมายืนอยู่ใน
ที่นี้.

ฝ่ายนางเปรต ได้ให้คำตอบด้วยคาถาว่า :-
เมื่อก่อน ฉันชื่อมัตตา ท่านชื่อติสสา เป็น
หญิงร่วมสามีกับท่าน ได้ทำกรรมชั่วไว้ จึงจาก
มนุษยโลกนี้ไปยังเปตโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ มตฺตา ตุวํ ติสฺสา ความว่า
ดิฉันชื่อมัตตา, ท่านชื่อติสสา. บทว่า ปุเร แปลว่า ในอัตภาพ
ก่อน. บทว่า เต ความว่า ดิฉันได้เป็นผู้ร่วมสามีกับท่าน. นางติสสา
จึงถามถึงกรรมที่เขาทำไว้ ด้วยคาถาอีกว่า :-
ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา
ใจ เพราะวิบากของกรรมอะไร ท่านจึงจาก
มนุษยโลกนี้ไปยังเปตโลก.

ฝ่ายนางเปรตจึงบอกกรรมที่ตนทำไว้ ด้วยคาถาอีกว่า :-
ดิฉันเป็นหญิงดุร้าย และหยาบช้า มัก
ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด ได้กล่าววาจาชั่วกะท่าน
ไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้ ไปยังเปตโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จณฺฑี แปลว่า ผู้มักโกรธ.
บทว่า ผรุสา แปลว่า ผู้มักกล่าวคำหยาบ. บทว่า อาสึ แปลว่า
ได้เป็นแล้ว. บทว่า ตาหํ ตัดเป็น ตํ อหํ. บทว่า ทุรุตฺตํ แปลว่า กล่าว
คำชั่ว คือ คำที่ไม่มีประโยชน์. เบื้องหน้าแต่นี้ไป หญิงทั้งสอง
คนนั้น ได้ประกาศคาถาว่าด้วยการกล่าวและการกล่าวโต้ตอบกัน
เท่านั้นว่า :-
ติสสา : เรื่องทั้งหมดนั้น แม้ฉันก็รู้ว่าท่านเป็นคนดุร้ายอย่างไร
แต่อยากจะถามท่านสักอย่างหนึ่งว่า ท่านมีสรีระเปื้อน
ฝุ่น เพราะกรรมอะไร.

นางเปรต : ท่านกับฉันพากันอาบน้ำแล้ว นุ่งห่มผ้าสะอาด ตบแต่ง
ร่างกายแล้ว แต่ฉันแต่งร่างกายเรียบร้อยยิ่งกว่าท่าน
เมื่อฉันแลดูท่านคุยอยู่กับสามี ลำดับนั้น ความริษยา
และความโกรธ ได้เกิดแก่ฉันเป็นอันมาก ทันใดนั้น ฉัน
จึงกวาดเอาฝุ่นโปรยรดท่าน ฉันมีร่างกายเปื้อนฝุ่น
เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น.
ติสสา : เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง แม้ฉันก็รู้ว่า ท่านเอาโปรย
โปรยใส่ฉัน แต่ฉันอยากจะถามท่านสักอย่างหนึ่ง ท่าน
เป็นหิดคันไปทั้งตัว เพราะกรรมอะไร
นางเปรต : เราทั้งสอง เป็นคนหายา ได้พากันไปป่า ส่วนท่านหา
ยามาได้ แต่ฉันนำเอาผลหมามุ่ยมา เมื่อท่านเผลอ ฉัน
ได้โปรยหมามุ่ยนั้นลงบนที่นอนของท่าน ฉันเป็นหิด
คันไปทั้งตัว เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น.
ติสสา : เรื่องทั้งหมดเป็นความจริง แม้ฉันก็รู้ว่า ท่านโปรย
ผลหมามุ่ยลงบนที่นอนของฉัน แต่ฉันอยากจะถามท่าน
สักอย่างหนึ่ง ท่านเป็นผู้เปลือยกาย เพราะกรรมอะไร
นางเปรต : วันหนึ่งได้มีการประชุมพวกมิตรสหายและญาติ
ส่วนท่านได้รับเชิญ แต่ฉันผู้ร่วมสามีกับท่าน ไม่มี
ใครเชิญ เมื่อท่านเผลอ ฉันได้ลักผ้าของท่านไปซ่อน
เสีย ฉันเป็นผู้เปลือยกาย เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น.

ติสสา : เรื่องทั้งหมดนั้น เป็นความจริง แม้ฉันก็รู้ว่า ท่านได้
ลักผ้าของฉันไปซ่อน แต่ฉันอยากจะถามท่านสักอย่าง
หนึ่ง ท่านมีกลิ่นกายเหม็นดังคูถ เพราะกรรมอะไร.
นางเปรต : ฉันได้ลักของหอม ดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ อันมีค่า
มากของท่านไป ทิ้งลงในหลุมคูถ บาปนั้นฉันได้ทำไว้
แล้ว ฉันมีกลิ่นกายเหม็นดังคูถ เพราะวิบากกรรมนั้น.
ติสสา : เรื่องทั้งหมดนั้น เป็นความจริง แม้ฉันก็รู้ว่า บาปนั้น
ท่านทำไว้แล้ว แต่ฉันอยากจะถามท่านสักอย่างหนึ่ง
ว่า ท่านเป็นคนยากจน เพราะกรรมอะไร
นางเปรต : ทรัพย์สิ่งใด มีอยู่ในเรือน ทรัพย์นั้น ของเราทั้งสอง
มีอยู่เท่า ๆ กัน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ แต่ฉันไม่ได้ทำที่พึ่ง
แก่ตน ฉันเป็นคนยากจน เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น
ครั้งนั้น ท่านได้ว่ากล่าวตักเตือนฉัน ห้ามไม่ให้ทำ
กรรมชั่วว่า ท่านจักไม่ได้สุคติเพราะกรรมชั่ว.
ติสสา : ท่านไม่เชื่อถือเรา เพราะริษยาเรา ขอท่านจงดูวิบาก
แห่งกรรมชั่วเช่นนี้ เมื่อก่อนนางทาสี และเครื่อง
อาภรณ์ทั้งหลาย ได้มีแล้วในเรือนของท่าน แต่เดี๋ยวนี้
ทาสีเหล่านั้น พากันห้อมล้อมคนอื่น โภคะทั้งหลาย
ก็ไม่มีแก่ท่านแน่แท้ บัดนี้กฏุมพีผู้เป็นบิดาของบุตร
เรา ยังไปตลาดอยู่ ท่านอย่าเพิ่งไปจากที่นี่เสียก่อน
บางที่เขาจะให้อะไรแก่ท่านบ้าง.

นางเปรต : ฉันเป็นผู้เปลือยกายมีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น การเปลือยกายและมีรูปร่าง
น่าเกลียด เป็นต้นนี้ เป็นการทำความละอาย ของหญิง
ทั้งหลายให้กำเริบ ขออย่าให้ท่านกฏุมพีได้เห็นฉันเลย.
ติสสา : ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้สิ่งไรหรือทำบุญอะไร ให้แก่
ท่าน ท่านจึงจะได้ความสุขสำเร็จความปรารถนา
ทั้งปวงได้.
นางเปรต : ขอท่านจงนิมนต์ภิกษุจากสงฆ์มา 4 รูป จากบุคคล
4 รูป รวมเป็น 8 รูป ให้ฉันภัตตาหาร แล้วอุทิศส่วน
บุญให้ฉัน เมื่อทำอย่างนั้น ฉันจึงจะได้ความสุข สำเร็จ
ความปรารถนาทั้งปวงได้. นางติสสารับคำแล้ว
นิมนต์ภิกษุ 8 รูป ให้ฉันภัตตาหาร ให้ครองไตรจีวร
แล้ว อุทิศส่วนกุศลไปให้นางเปรต ในทันตาเห็นนั่น
เอง วิบาก คือ ข้าว น้ำ และเครื่องนุ่งห่ม ได้เกิดขึ้น
นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ในขณะนั้นเอง นางเปรตมี
ร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้า
แคว้นกาสี ประดับด้วยผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร เข้า
ไปหานางติสสา ผู้เป็นหญิงร่วมสามี.
ติสสา : ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่อง
สว่างไสวไปทุกทิศสถิตอยู่ ดุจดาวประกายพรึก ท่าน
มีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไร อิฐผลสำเร็จ

แก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เพราะกรรมอะไร ดูก่อน นางเทพธิดา ผู้มี
อานุภาพมาก ฉันขอถามท่าน เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์
ได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรื่อง และ
มีรัศมีอันสว่างไสวไปทุกทิศอย่างนี้ เพราะกรรมอะไร.
เทพธิดา : เมื่อก่อนฉันชื่อมัตตา ท่านชื่อ ติสสา เป็นหญิงร่วม
สามีกับท่าน ได้ทำกรรมชั่วไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้
ไปยังเปตโลก.
ฉันอนุโมทนาทานที่ท่านให้แล้ว จึงไม่มีภัยแต่ที่ไหน
คุณพี่ ขอท่านพร้อมด้วยญาติทุกคน จงมีอายุยืนนาน
คุณพี่ ผู้งดงาม
ท่านจงประพฤติธรรมและให้ทานในโลกนี้แล้ว จัก
เข้าถึงฐานะอันไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี อันเป็นที่
อยู่แห่งท้าววสวัตตี ท่านกำจัดมลทินคือความตระหนี่
พร้อมทั้งราก อันใคร ๆ ติเตียนไม่ได้ จะเข้าถึงโลก
สวรรค์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพํ อหมฺปิ ชานามิ ยถา
ตฺวํ จณฺฑิกา อหุ
ความว่า คำที่ท่านกล่าว เราเป็นผู้ดุร้ายและ
มีวาจาหยาบทั้งหมดนั้น แม้ข้าพเจ้าก็รู้ว่าท่านเป็นผู้ร้าย มักโกรธ
มีวาจาหยาบ มักริษยา ตระหนี่ และโอ้อวด. บทว่า อญฺญญฺจ โข
ตํ ปุจฺฉามิ ความว่า บัดนี้ เราขอถามท่านสักอย่างหนึ่งอีก.

บทว่า เกนาสิ ปํสุกุนฺถิตา ความว่า ท่านเป็นผู้เปื้อนด้วยหยากเยื่อ
และฝุ่น เป็นผู้มีร่างกายเกลื่อนกล่นโดยประการทั้งปวง เพราะ
กรรมอะไร.
บทว่า สีสํ นฺหาตา ปลว่า ท่านสระผมแล้ว. บทว่า
อธิมตฺตํ แปลว่า มีประมาณยิ่งกว่า. บทว่า สมลงฺกตตรา
แปลว่า ประดับด้วยดี คือดียิ่ง. บาลีว่า อธิมตฺตา ดังนี้ก็มี.
อธิบายว่า เป็นผู้เมา คือ เป็นผู้เมาด้วยมานะอย่างยิ่ง คืออาศัย
มานะ. บทว่า ตยา แปลว่า อันนางผู้เจริญ. บทว่า สามิเกน สมนฺตยิ
ความว่า ท่านกล่าวเจรจาปราศัยกับสามี.
บทว่า ขชฺชสิ กจฺฉุยา ความว่า ท่านถูกโรคหิดกัด คือ
เบียดเบียน. บทว่า เภสชฺชหารี แปลว่า ผู้หายา คือ ผู้นำโอสถ
มา. บทว่า อุภโย แปลว่า ทั้งสองคน, อธิบายว่า ท่านกับเรา
บทว่า วนนฺตํ แปลว่าสู่ป่า. บทว่า ตฺวญฺจ เภสชฺชมาหริ ความว่า
ส่วนท่านหายาที่นำอุปการะมาแก่ตน ตามที่หมอบอกให้. บทว่า
อหญฺจ กปิกจฺฉุโน ความว่า แต่ฉันได้นำเอาผลหมามุ่ย คือผลไม้
ที่มีผัสสะชั่วมาให้. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เครือเถาที่เป็นเอง
ท่านเรียกว่า กปิกจฺฉุ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงนำเอาใบและผลของ
เครือเถาที่เป็นเองมา. บทว่า เสยฺยํ ตฺยาหํ สโมกิรึ ความว่า ดิฉัน
เอาผลและใบหมามุ่ยโปรยรอบที่นอนท่าน.
บทว่า สหายานํ แปลว่า มิตร. บทว่า สมโย แปลว่า การ
ประชุม. บทว่า ญาตีนํ ได้แก่ พวกพ้อง. บทว่า สมิติ แปลว่า

การประชุม. บทว่า อามนฺติตา ความว่า ท่านอันดิฉันเชิญโดย
การกระทำมงคล. บทว่า สสามินี ความว่า หญิงผู้ร่วมสามี คือ
ผู้ร่วมผัว. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า โน จ โขหํ ความว่า
ส่วนเราเขามิได้เชื้อเชิญเลย. บทว่า ทุสฺสํ ตฺยาหํ ตัดเป็น ทุสฺสํ
เต อหํ.
บทว่า อปานุทึ ได้แก่ ดิฉันได้ลัก คือ ได้ถือเอาโดยอาการ
ขะโมย.
บทว่า ปุจฺจคฺฆํ ได้แก่ ใหม่เอี่ยม. หรือมีค่ามาก. บทว่า
อตาเรสึ ได้แก่ ทิ้งไป. บทว่า คูถคนฺธินี ได้แก่ ผู้มีกลิ่นเหมือน
กลิ่นคูถ คือ ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอุจจาระ.
บทว่า ยํ เคเห วิชฺชเต ธนํ ความว่า เราทั้งสอง คือ ท่านและ
ฉัน มีทรัพย์ที่เกิดขึ้นในเรือนเสมอกัน คือ เท่ากันทีเดียว. บทว่า
สนฺเตสุ แปลว่า มีอยู่. บทว่า ทีปํ ได้แก่ ที่พึ่ง. ท่านกล่าวหมายเอา
บุญกรรม.
นางเปรตนั้นครั้นบอกเนื้อความที่นางติสสาถามอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะประกาศความผิดที่ตนไม่กระทำตามคำของนางติสสานั้น
ในกาลก่อนกระทำอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ในเวลานั้นนั่นเอง
ท่านได้กล่าวสอนเรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเทว แปลว่า ในกาลนั้นนั่นแหละ
คือ ในเวลาที่เราตั้งอยู่ในอัตภาพมนุษย์นั่นเอง. บาลีว่า ตเถว
ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า กรรมที่เกิดขึ้นในบัดนี้ ฉันใด กรรมนั้นก็เป็น
อย่างนั้นเหมือนกัน. นางเปรตแสดงอ้างถึงตนว่า มํ. บทว่า ตฺวํ

ได้แก่ ซึ่งนางติสสา. บทว่า อวจ แปลว่า ได้กล่าวแล้ว. ก็เพื่อ
จะแสดงถึงอาการที่นางติสสากล่าว จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า ปาปกมฺมํ
กรรมชั่ว. บาลีว่า ปาปกมฺมานิ ดังนี้ก็มี. นางเปรตกล่าวว่า ท่าน
กระทำกรรมชั่วอย่างเดียว แต่ท่านไม่ได้สุคติด้วยดี เพราะกรรมชั่ว
โดยที่แท้ ได้แต่สุคติเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านได้กล่าว คือโอวาท
เราในกาลก่อน โดยอาการใด กรรมนั้นก็ย่อมมีโดยอาการนั้น
เหมือนกัน.
นางติสสาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าว 3 คาถา โดยนัยมี
อาทิว่า วามโต มํ ตฺวํ ปจฺเจสิ ท่านไม่เชื่อถือเรา ดังนี้. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า วามโต นํ ตฺวํ ปจฺเจสิ ความว่า ท่านเชื่อเรา
โดยอาการผิดตรงกันข้าม คือ ท่านยืดถือเราแม้ผู้แสวงหาประโยชน์
แก่ท่าน ก็ทำให้เป็นข้าศึก. บทว่า มํ อุสูยสิ แปลว่า ท่านริษยาเรา
คือ ทำความริษยาเรา. ด้วยบทว่า ปสฺส ปาปานํ กมฺมานํ วิปาโก
โหติ ยาทิโส
นี้ นางเปรตแสดงว่า ท่านจงดูวิบากของกรรมชั่ว
ที่ร้ายกาจมากนั้น โดยประจักษ์.
บทว่า เต อญฺเญ ปริจาเรนฺติ ความว่า ทาสีในเรือนของท่าน
และเครื่องอาภรณ์เหล่านี้ที่ท่านหวงแหนไว้ในกาลก่อน บัดนี้
บำเรอคนอื่น คือ คนอื่นใช้สอย. จริงอยู่ บทว่า อิเม นี้ ท่านกล่าว
โดยเป็นลิงควิปลาส. บทว่า น โภคา โหนฺติ สสฺสตา ความว่า
ธรรมดาว่าโภคะเหล่านี้ ไม่แน่นอน คือไม่ยั่งยืนเป็นของชั่วกาล

มีอันจะต้องละทิ้งไป อธิบายว่า เพราะฉะนั้น ไม่ควรทำความริษยา
และความตระหนี่เป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่โภคะนั้น.
บทว่า อิทานิ ภูตสฺส ปิตา ความว่า บัดนี้ กฏุมพีผู้เป็นบิดา
ของเจ้า ภูตะผู้เป็นบุตรของเรา. บทว่า อาปณา ความว่า เขาจักมา
คือจักกลับจากตลาดมายังเรือน. บทว่า อปฺเปว เต ทเท กิญฺจิ
ความว่า กฏุมพีมาถึงเรือนแล้วคงจะให้ไทยธรรมบางอย่าง อันควร
ที่จะให้แก่ท่านบ้าง. บทว่า มา สุ ตาว อิโต อคา ความว่า นางติสสา
เมื่อจะอนุเคราะห์นางเปรตนั้นจึงกล่าวว่า อันดับแรก ท่านอย่าได้
ไปจากนี้ คือจากที่ดินหลังเรือนนี้.
นางเปรตได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตน จึง
กล่าวคาถามีอาทิว่า ดิฉันเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกปีนเมตํ อิตฺถีนํ ความว่า ความเป็น
คนเปลือยกายและมีรูปร่างน่าเกลียดเป็นต้นนี้ เป็นของน่าละอาย
คือ ควรจะปกปิดสำหรับหญิงทั้งหลาย เพราะเป็นอวัยวะควรจะต้อง
ปกปิด. บทว่า มา มํ ภูตปิตาทฺทส ความว่า นางเปรตละอายพลาง
กล่าวว่า เพราะฉะนั้น กฏุมพีผู้เป็นบิดาของเจ้าภูตะ อย่าได้พบ
ดิฉันเลย.
นางติสสา ครั้นได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความสงสารกล่าวคาถาว่า
เอาเถอะ เราจะให้อะไรแก่ท่านสักอย่าง. บรรดาบทเหล่านั้น
ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิปาต ใช้ในอรรถว่า ตักเตือน. บทว่า กึ วา
ตฺยาหํ ทมฺมิ
ความว่า เราจะให้อะไรแก่ท่าน คือ จะให้ผ้าหรือ

อาหาร. บทว่า กึ วา เตธ กโรมหํ ความว่า เราจะทำอุปการะอะไร
แก่ท่านสักอย่าง ในที่นี้ คือในเวลานี้.
นางเปรตได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาว่า จตฺตาโร ภิกฺขู
สงฺฆโต
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตาโร ภิกฺขู สงฺฆโต
จตฺตาโร ปน ปุคฺคเล
ความว่า ท่านจงให้ภิกษุ 8 รูป บริโภความ
ความพอใจ อย่างนี้คือ จากภิกษุสงฆ์ คือ จากสงฆ์ 4 รูป จาก
บุคคล 4 รูป ดังนี้แล้วอุทิศส่วนบุญนั้นแก่เรา คือ จงให้ปัตติทาน
แก่เราเถิด. บทว่า ตทาหํ สุขิตา เหสฺสํ ความว่า ในเวลาที่ท่าน
อุทิศส่วนบุญแก่เรา เราได้รับความสุข คือถึงความสุขแล้ว จัก
เป็นผู้สำเร็จสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง.
นางติสสา ครั้นได้ฟังดังนั้น จึงได้แจ้งความนั้น แก่สามี
ของตน ในวันที่ 2 จึงให้ภิกษุ 8 รูป ฉันแล้ว อุทิศส่วนบุญแก่
นางเปรต, ทันใดนั้นเอง นางเปรตก็ได้รับทิพยสมบัติ จึงกลับไปหา
นางติสสา. เพื่อจะแสดงความนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย
จึงได้ตั้ง 3 คาถามีอาทิว่า นางรับคำแล้ว.
ฝ่ายนางติสสา ได้สอบถามนางเปรตผู้เข้าไปยืนอยู่แล้ว
ด้วย 3 คาถา มีอาทิว่า มีวรรณะงามยิ่งนัก. ฝ่ายนางเปรต จึงแจ้ง
เรื่องของตนด้วยคาถาว่า เราชื่อมัตตา แล้วได้ให้อนุโมทนาแก่
นางติสสา ด้วยคาถาเป็นต้นว่า ขอท่านจงมีอายุยืนเถิด ดังนี้แล้ว
ได้ให้โอวาท ด้วยคาถาว่า จงประพฤติธรรมในโลกนี้ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตว ทินฺเนน ได้แก่ ทานที่ท่านให้แล้ว.

บทว่า อโสกํ วิรชํ ฐานํ ความว่า ชื่อว่า อโสกะ เพราะไม่มีความ
เศร้าโศก อนึ่ง ฐานะอันเป็นทิพย์ ชื่อว่า วีรชะ เพราะไม่มีธุลี คือ
เหงื่อไคล ทั้งหมดนั้น นางเทพธิดา กล่าวหมายเอาเทวโลก. บทว่า
อาวาสํ ได้แก่สถานที่. บทว่า วสวตฺตินํ ได้แก่ เทพทั้งหลาย
ผู้แผ่อำนาจของตน โดยความเป็นอธิบดี อันเป็นทิพย์. บทว่า สมูลํ
ได้แก่ เป็นไปกับด้วยโลภะและโทสะ. จริงอยู่ โลภะและโทสะ ชื่อว่า
เป็นมูลของความตระหนี่. บทว่า อนินฺทิตา ได้แก่ใคร ๆ ไม่ติเตียน
คือ ควรสรรเสริญ. บทว่า สคฺคมุเปหิ ฐานํ ความว่า จงดำรงฐานะ
อันเป็นทิพย์ อันได้นามว่า สัคคะ เพราะเลิศด้วยดี ด้วยอารมณ์
ทั้งหลายมีรูป เป็นต้น, อธิบายว่า มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
คำที่เหลือ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
ลำดับนั้น นางติสสา บอกเรื่องราวนั้นแก่กฏุมพี. กฏุมพี
จึงได้เรียนแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูล แด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็น
อัตถุปปัตติเหตุ จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว.
มหาชนได้ฟังธรรมนั้น กลับได้ความสลดใจ จึงกำจัดมลทินมีความ
ตระหนี่เป็นต้น เป็นผู้ยินดีในทานและศีลเป็นต้น มีสุคติเป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามัตตาเปติวัตถุที่ 3

4. นันทาเปติวัตถุ



ว่าด้วยผู้ดุร้ายตายเป็นนางเปรต



นันทิเสนอุบาสกถามว่า
[101] ท่านมีผิวพรรณดำ มีรูปร่างน่าเกลียด
ตัวขรุขระดูน่ากลัว มีตาเหลือง เขี้ยวงอกออก
เหมือนหมู เราไม่เข้าใจว่าท่านเป็นมนุษย์.

นางเปรตตอบว่า
ข้าแต่ท่านนันทิเสน เมื่อก่อน ฉันชื่อ
นันทา เป็นภรรยาของท่าน ได้ทำกรรมอันลามก
ไว้จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.

นันทิเสนถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ
เพราะวิบากแห่งกรรมอะไรท่านจึงจากโลกนี้
ไปสู่เปตโลก.

นางเปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อนฉันเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย ไม่
เคารพท่าน พูดคำชั่วหยาบกะท่าน จึงจากโลกนี้
ไปสู่เปตโลก.